3 มติ ครม. เกี่ยวของกับหน่วยงาน

คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้

                 1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต  หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย  พ.ศ. ….   มีสาระสำคัญคือ   กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต    หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยรวมทั้งสถานที่การทำหนังสือแสดงเจตนา และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา

                  2. ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม  สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุด เกี่ยวกับเงื่อนไขในการทำหนังสือแสดงเจตนา  เช่น  อายุ  หรือความสามารถของบุคคลที่จะทำหนังสือแสดงเจตนา  การให้แพทย์   พยาบาล   และผู้อำนวยการโรงพยาบาลลงลายมือชื่อรับรองเพื่อยืนยันการแสดงเจตนา  การให้แพทย์จากโรงพยาบาลอื่นซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะร่วมวินิจฉัยและลงลายมือชื่อรับรอง  รวมทั้งกรณีการทำหนังสือแสดงเจตนา  ณ  สถานบริการสาธารณสุข  โดยให้นักจิตวิทยาตรวจสภาพจิตผู้ป่วย  และญาติ  และให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนั้น และนักจิตวิทยาลงลายมือชื่อรับรองในหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าว เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้

คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้

              1. เห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบายเรื่อง วิกฤตเศรษฐกิจและการปกป้องสุขภาวะคนไทย  ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2551  เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2551  ที่มีมติเห็นชอบมาตรการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบทางสุขภาวะจากวิกฤติเศรษฐกิจ ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2551 เป็นวาระเร่งด่วน  และให้กระทรวงสาธารณสุข  กระทรวงแรงงาน  (สำนักงานประกันสังคม)  และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ

              2. ให้กระทรวงแรงงาน ( สำนักงานประกันสังคม) รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นว่าปัจจุบันเกษตรกรเข้าถึงหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแล้ว แต่ยังไม่ได้รับสวัสดิการเทียบเท่ากับแรงงานภาคอื่น ๆ จึงเห็นควรให้ความสำคัญในเรื่อง สวัสดิการทางสังคมของเกษตรกร  เพื่อให้เกษตรกรได้รับการคุ้มครองทางสังคมเพิ่มเติม ไปพิจารณาด้วย

คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้

              1. เห็นชอบข้อเสนอทางนโยบายเพื่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและญาติกับบุคลากรทางการแพทย์ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2551 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2551 ดังนี้

                  1.2 เห็นชอบให้เปลี่ยนชื่อข้อเสนอเชิงนโยบาย จาก  “การแก้ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและญาติกับบุคลากรทางการแพทย์”  ไปเป็น  “การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและญาติกับบุคลากรทางการแพทย์”  ตามมติของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1

                  1.3 เห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบาย  เรื่อง  การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและญาติกับบุคลากรทางการแพทย์ ตามมติของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ

              2. ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป

คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้

              1. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอทางนโยบายเรื่อง ผลกระทบจากอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุดและจังหวัดระยอง ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 4/2551 เมื่อวันที่ 1

สิงหาคม 2551 ตามที่สำนักงาน คสช. เสนอ ไปพิจารณาดำเนินการดังนี้

                  1.1 ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลผลกระทบทางสุขภาพจากอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในพื้นที่มาบตาพุดและอำเภอบ้านฉาง  รวมถึงเผยแพร่วิธีป้องกันผลกระทบและวิธีการสร้างเสริมสุขภาพในภาวะมลพิษให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงโดยเร็วและต่อเนื่อง  และให้จัดทำแผนและกฎการปฏิบัติการสำหรับป้องกันและบรรเทาอุบัติภัยจากอุตสาหกรรมและการจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาอุบัติภัยสารเคมีระดับจังหวัดโดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรและประชาชนในพื้นที่

                  1.2 ให้ คสช. สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพกลไกกลางในการดำเนินงานและความเข้มแข็งของภาคประชาชน  ได้แก่  การศึกษาแนวทางในการจัดตั้งกลไกผู้ตรวจการสำหรับการป้องกันและแก้ไขผลกระทบทางสุขภาพ  การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของภาคประชาชน  และการสนับสนุนภาคประชาสังคมจังหวัดระยองติดตามความเคลื่อนไหวทางนโยบายโดยใช้กระบวนการสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่

              2. ส่วนข้อเสนอที่สำนักงาน คสช. เสนอคือ

                  2.1 ให้รัฐบาลทบทวนและปรับแนวทางการพัฒนาจังหวัดระยอง   โดยจัดตั้งคณะกรรมการจากทุกภาคส่วน วางและจัดทำผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชนจังหวัดระยองฉบับใหม่ ปรับปรุงระบบและมาตรการทางการคลัง และจัดตั้งกองทุนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดระยอง จัดให้มีระบบและกลไกการป้องกันและแก้ไขปัญหาทางสังคม  โดยเฉพาะปัญหาเด็กและเยาวชน   และจัดให้มีบริการทางสังคมซึ่งเป็นความสำคัญขั้นพื้นฐานอย่างเพียงพอ โดยสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ในทุกขั้นตอน

                  2.2 ให้รัฐบาลชะลอการขยายและก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ในพื้นที่มาบตาพุดและบ้านฉางในระหว่างการทบทวนและปรับแนวทางการพัฒนาจังหวัดระยอง   โดยให้มีการกำหนดแนวทางและกระบวนการตัดสินใจในการให้อนุมัติ/อนุญาต/ให้ความเห็นชอบการขยายโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ให้เป็นไปตามมาตรา 67ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นั้น ให้คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) เป็นประธาน รับไปพิจารณาทบทวนความเหมาะสมตามอำนาจหน้าที่

และความสอดคล้องของกฎหมาย กฎ ระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2551  รวม 14 ประเด็น  และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินการพร้อมทั้งปัญหาอุปสรรคเพื่อแจ้งต่อคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติด้วย โดยมติสมัชชาสุภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2551 ประกอบด้วย

              มติ 1.1     ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ

              มติ 1.2     การเข้าถึงยาถ้วนหน้าของประชากรไทย

              มติ 1.3     นโยบายแห่งชาติเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมในจังหวัดชายแดน

                             ภาคใต้

              มติ 1.4     การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำหนดนโยบายการเจรจาการค้าเสรี

              มติ 1.5     เกษตรและอาหารในยุควิกฤต

              มติ 1.6     ยุทธศาสตร์ในการจัดการปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

              มติ 1.7     บทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการจัดการสุขภาพและทรัพยากรธรรมชาติ สิ่ง

                             แวดล้อม

              มติ 1.8     ความเสมอภาคในการเข้าถึงและได้รับบริการสาธารณสุขที่จำเป็น

              มติ 1.9     ผลกระทบจากสื่อต่อเด็ก เยาวชน และครอบครัว

              มติ 1.10   สุขภาวะทางเพศ : ความรุนแรงทางเพศ การตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม  และเรื่องเพศกับเอดส์

                             /โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

              มติ 1.11   ระบบและกลไกการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพในสังคมไทย

              มติ 1.12   นโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาวะของแรงงานนอกระบบ

              มติ 1.13   การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและญาติกับบุคลากรทางการแพทย์ 

              มติ 1.14   วิกฤตเศรษฐกิจและการปกป้องสุขภาวะคนไทย

คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้

               1. เห็นชอบข้อเสนอนโยบายการจัดการสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชเพื่อลดผลกระทบทางสุขภาพตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 3/2551 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2551 ที่เห็นชอบนโยบายการจัดการสารเคมี  ฯ  ในประเด็น “การมีส่วนร่วมของประชาชน” และ “การควบคุมโฆษณาและขายตรง” เพื่อมอบให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ตามที่สำนักงาน คสช. เสนอ

               2. ให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่เห็นควรมีมาตรการสร้างความตระหนักและความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับการใช้สารเคมีและวัตถุอันตรายต่าง ๆ ในวงกว้างและอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันตนเองต่อเรื่องดังกล่าว และในการควบคุมและป้องกันสารเคมีโดยการใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนควรนำข้อคิดเห็นของสาธารณชนไปเป็นปัจจัยหนึ่งในการประกอบการพิจารณาการขึ้นทะเบียนสารเคมี  โดยมีการเผยแพร่ข้อมูลให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ข้อคิดเห็น พร้อมแสดงข้อมูลและหลักฐานประกอบเพื่อสร้างความโปร่งใสและเปิดโอกาสให้ได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน  นอกจากนี้ ควรส่งเสริมเรื่องระบบการเฝ้าระวังในการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายทางการเกษตร  โดยสนับสนุนให้มีกระบวนการสร้างความรู้และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่เกษตรกร   และเร่งดำเนินการมาตรการรณรงค์เรื่องการลดใช้สารเคมีร่วมกันของทุกภาคส่วนทั้งในกลุ่มเกษตรกรผู้ใช้ ประชาชนผู้บริโภค ภาคเอกชนผู้ผลิต และตัวแทนจำหน่าย รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี  คณะที่ 2  ที่มีมติเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ตั้งงบประมาณปี พ.ศ. 2552  ผ่านสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ส่วนการตั้งงบประมาณปีต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติตั้งงบประมาณผ่านสำนักนายกรัฐมนตรี   สำหรับภาพรวมของนโยบายด้านการสาธารณสุขของประเทศ   มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินนโยบายด้านการสาธารณสุขของประเทศมีทิศทางที่ชัดเจน มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) ประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ  (คสช.)  รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2550 เกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์ทศวรรษกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ  สรุปได้ดังนี้  คสช. ได้จัดประชุม คสช.  ครั้งที่ 1/2550  เมื่อวันที่  23  พฤศจิกายน  2550  ซึ่งที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพ โดยมีศาสตราจารย์นายแพทย์เกษม วัฒนชัย เป็นประธานกรรมการ  นายสุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ เป็นรองประธานกรรมการ  ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข   และผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์   สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นเลขานุการร่วมกัน  โดยคณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพ ได้มีการประชุมไปแล้ว 1 ครั้ง  และเห็นชอบให้มีคณะทำงานพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ขึ้นมาทำหน้าที่วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลทางวิชาการ   รวมทั้งจัดเวทีสาธารณะแบบมีส่วนร่วมและจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อแก้ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์อย่างเป็นระบบ ภายในระยะแรกไม่เกิน 6 เดือน

คณะรัฐมนตรีมีมติมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) เป็นประธานการหารือเรื่อง

การขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรม

การสุขภาพแห่งชาติ สำนักงบประมาณ  สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา  และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง  แล้วนำ

เสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง

คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้

               1. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มติ 3 การควบคุมกลยุทธ์การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ตามมติการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2554 วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้

                   1.1 ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการ ดังนี้

                         1.1.1 ควบคุมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. 2551

                         1.1.2 พัฒนาและผลักดันร่างพระราชบัญญัติการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. …. ให้สำเร็จในปี พ.ศ. 2555 โดยจัดให้มีกลไกดำเนินการและใช้หลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. 2551 เป็นหลักเกณฑ์พื้นฐานขั้นต่ำ และให้มีการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยพิจารณาทุนการดำเนินงานจากเงินภาษีการนำเข้าหรือรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมผสมจากต่างประเทศในลักษณะเดียวกับกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

                         1.1.3 พัฒนากลไกการปฏิบัติ ระบบการติดตามประเมินผลและระบบรายงานผลโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งระดับท้องถิ่น จังหวัด ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ

                   1.2 ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน สำนักนายกรัฐมนตรี กรมบัญชีกลาง และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องศึกษาเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการขยายสิทธิการลาคลอด และพิจารณาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิการลาคลอด รวมถึงการได้รับค่าจ้างระหว่างลา ในกรณีที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และให้จัดมาตรการหรือสวัสดิการในการส่งเสริมและสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แก่สตรีที่คลอดบุตรและอยู่ระหว่างการให้นมบุตรในสถานประกอบกิจการและสถานที่ทำงาน รวมทั้งพิจารณามาตรการการลดหย่อนภาษีและการประกาศเกียรติคุณให้แก่สถานประกอบกิจการที่เป็นแบบอย่างของการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

               2. ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่าการขยายสิทธิการลาคลอดให้เป็น 180 วัน มีผลกระทบต่อกฎหมายหลายฉบับ และอาจมีผลกระทบโดยตรงต่อแรงงานสตรี ซึ่งอาจถูกกีดกันโดยเฉพาะภาคเอกชน เป็นการลดโอกาสในการทำงาน ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรที่จะกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว เพื่อให้การขยายสิทธิลาคลอดเกิดผลในทางปฏิบัติได้จริง ไปประกอบการพิจารณาด้วย